- มีอาการปวดแสบปวดร้อน
- ผิวมีสีแดงเป็นรอยขุยสีขาว
- ผิวมีความแห้ง
- แห้งจนแตกเป็นเลือด
- เล็บมีลักษณะที่เปลี่ยนไปอย่างผิดรูป
- เล็บมีลักษณะหนามากขึ้น
- ข้ออักเสบหากปล่อยไว้อาจพิการได้
สะเก็ดเงิน เป็นโรคที่มีการอักเสบเรื้อรังของผิวหนังอีกโรคหนึ่งที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย เกิดจากการปรวนแปรของภูมิคุ้มกันของร่างกาย และไปกระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนัง โดยมีพื้นฐานมาจากพันธุกรรมและสิ่งกระตุ้นจากภายนอก พบได้บ่อยในช่วงอายุ 20 ปี และ 40 ปีขึ้นไป โดยพบได้ทั้งเพศหญิงและเพศชาย โรคสะเก็ดเงินมีสาเหตุมาจากพันธุกรรม สิ่งกระตุ้นภายนอก และนอกจากนี้ยังพบว่าโรคสะเก็ดเงินมีความสัมพันธ์กับโรคอ้วน ภาวะไขมันในเลือดสูง และเบาหวาน
ภาวะแทรกซ้อนของโรคสะเก็ดเงิน โรคที่สามารถเกิดขึ้นตามมาในภายหลัง โดยความเสี่ยงจะมากขึ้นและพบได้บ่อยในผู้ป่วยที่มีอาการในระดับปานกลางไปจนถึงขั้นรุนแรง ได้แก่ โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคข้ออักเสบสะเก็ดเงิน เกิดการติดเชื้อ โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
ผื่นที่พบได้บ่อยของโรคสะเก็ดเงิน
ผื่นสะเก็ดเงินที่พบจะมีลักษณะเป็นตุ่มหรือผื่นนูนสีแดง ขอบเขตชัดเจน มีขุยหรือสะเก็ดเงินปกคลุมสีขาวคล้ายเงิน (silvery-white scales) ปิดบนรอยผื่นสีแดง ผื่นมีหลายรูปแบบ เช่น
- อาจเป็นตุ่มกลมขนาดเล็กเท่าหยดน้ำ
- ผื่นกลมเท่าขนาดเหรียญ
- ผื่นนูนหนาขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือ
- ขอบผื่นอาจหยักโค้ง
- บางรายเป็นผื่นหนาขนาดใหญ่ทั้งตัวผื่นสะเก็ดเงินชนิดอื่น ๆ
- ผื่นในซอกพับ (inverse psoriasis),
- ผื่นสะเก็ดเงินแบบตุ่มหนอง (pustular psoriasis) เป็นต้น
ในปัจจุบัน มีทั้งยาทาและยารับประทานที่ได้ผลดีในการรักษา ซึ่งแต่ละชนิดมีผลดีและผลเสียที่ต่างกัน การเลือกให้การรักษาจำเป็นต้องคำนึงถึงองค์ประกอบหลายประการ เช่น ตำแหน่งของผื่น ความระคายเคืองของยา ค่าใช้จ่ายในการรักษา และความสะดวกของผู้ป่วยที่จะมารับการรักษา เป็นต้น